สิ่งก่อสร้างสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ย่อมสึกกร่อนไปตามช่วงเวลา อย่างบ้านเรือนธรรมดา ยังเปลี่ยนไปไม่น้อยเมื่อมีอายุผ่านไปหลายสิบปี แล้วคุณเคยคิดหรือไม่ว่า สถาปัตยกรรมสำคัญ ๆ ของโลกที่มีอายุหลายร้อยหลายพันปี จะเปลี่ยนแปลงไปมากมายแค่ไหน
วันนี้เราขอพามาชมภาพจำลองสถาปัตยกรรมสำคัญ ๆ ของโลกแต่ละแห่งว่า มันควรมีลักษณะแบบไหนกันแน่ ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมในอดีต หรือจะเป็นแผนการสร้างสถาปัตยกรรมที่ล้มเหลว จนมองไม่เห็นอนาคต
1. มหาพีระมิดแห่งกีซ่า, อียิปต์
แต่เดิมที มหาพีระมิดแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยหินปูนสีขาวสะท้อนแสงที่แวววาวอีกชั้น ซึ่งนี่คือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ฟาโรห์อย่างแท้จริง (บางคนถึงกับอ้างว่าเป็นแผงพลังงานโซลาเซลล์ไปนู่น) ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น มันจะมองเห็นได้จากเทือกเขาของอิสราเอล หรือแม้แต่ในอวกาศ
แต่น่าเสียดายที่ชั้นนอกของหินดังกล่าวถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวที่รุนแรงในปี ค.ศ. 1301 นอกจากนั้นยังมีความเป็นไปได้ที่จะถูกฟื้นฟูใหม่หลังจากโดนทำลายโดนชาวอาหรับในช่วงศัตวรรษที่ 12 ระหว่างสงครามครูเสด
2. มหาวิหาร ซากราดาฟามิเลีย, สเปน
สถาปัตยกรรมขนาดยักษ์ในเมืองบาร์เซโลนา ประเทสสเปน ที่ถูกสร้างมาตั้งแต่ปี 1882 โดย แอนโทนี เกาดี ซึ่งหากใช้เทคโนโลยีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 สร้างต่อไปตามแผน อาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 3-4 ศตวรรษที่เดียวกว่าจะสร้างเสร็จ
ปัจจุบัน เหล่าบรรดานักบวชของคริสตจักร ต่างช่วยกันสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อให้มหาวิหารแห่งนี้ถูกสร้างจนสำเร็จ และด้วยการใช้เทคโนโลยีในปัจจุบัน มหาวิหารแห่งนี้จึงคาดว่า น่าจะแล้วเสร็จในปี 2026 หรือ 144 ปี จากการก่อสร้างครั้งแรกเลยทีเดียว
3. โคลอสเซียม, อิตาลี
ถือเป็นหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณ โดยโคลอสเซียม ถูกสร้างขึ้นมาในศตวรรษที่ 1 โดยมีอายุมากกว่า 1,000 ปี ซึ่งปัจจุบัน โคลอสเซียม ถือว่ามีสภาพเปลี่ยนแปลงไปมากจากตอนก่อสร้างในยุคแรก ๆ เนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14
แผ่นดินไหวดังกล่าวได้สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่โคลอสเซียมบางส่วน โดยเฉพาะฝั่งใต้ หลังจากนั้นก็มีการมองหาแหล่งวัสดุก่อสร้างสำหรับโครงสร้างใหม่ ซึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้ถูกบูรณะให้กลับมามีสภาพเช่นเดิม แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังเป็นสถาปัตยกรรมที่มหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอยู่ดี
4. อินเดียทาวเวอร์, อินเดีย
ตึกที่มีความสูง 2,356 ฟุต และเริ่มก่อสร้างไปในปี 2010 ในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย มีอันต้องหยุดชะงักไป หลังจากก่อสร้างไปเดียวเพียงแค่ปีเดียว และจนถึงปัจจุบันนี้ มันก็ยังไม่ได้ถูกสร้างต่อแต่อย่างใด เหลือแต่เพียงภาพในจินตนาการที่ควรจะเป็นเท่านั้น
ตึกสูงระฟ้าที่คาดว่าจะเป็นตึกที่สูงที่สุดอันดับ 2 ของโลก โดยเป็นรองเพียงแค่ตึก Burj Khalifa ในดูไบเท่านั้น และแม้แต่ จิออร์จิโอ อาร์มานี ยังได้รับงานออกแบบภายในให้กับตึกนี้อีกด้วย
5. วิหารพาร์เธนอน
วิหารพาร์เธนอน เป็นสถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างเพื่อเป็นศาสนสถานบูชาเทพีเอเธนาหรือเทพีแห่งปัญญา ที่ถูกสร้างขึ้นราว 447 ปีก่อนคริสตศักราช และใช้เวลาสร้างเพียง 9 ปี แต่นี่ก็คือหนึ่งสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีชื่อเสียงที่สุด และออกแบบอย่างชาญฉลาดที่สุดอีกด้วย
หลังจากที่พาร์เธนอนเป็นวิหารมานับพันปี มันก็ถูกใช้เป็นโบสถ์ของชาวคริสเตียน และเมื่อตกเป็นของจักรวรรดิออตโตมันในปี 1456 วิหารแห่งนี้จึงถูกใช้เป็นมัสยิด ซึ่งในระหว่างนี้ มีการเปลี่ยนมือผู้ครอบครอง และถูกใช้เป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรมมากมาย รวมถึงมีการถูกบูรณะซ่อมแซมหลายครั้ง
6. ตึก Burj Al Alam, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
นี่คืออีกหนึ่งโปรเจคตึกระฟ้าของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีโครงการก่อสร้างให้สำเร็จในปี 2009 ซึ่งตามแผน ตึกแห่งนี้จะมีลักษณะเป็นเหมือนดอกไม้คริสตัลที่สวยงาม และมีความสูงถึง 1,670 ฟุต
แต่ไม่ใช่ทุกตึกในจะถูกสร้างสำเร็จลุล่วงเสมอไป เพราะด้วยปัญหาวิกฤตทางการเงินทั่วโลก ส่งผลให้การก่อสร้างตึกแห่งนี้หยุดชะงักลงในปี 2013 และกลายเป็นพื้นที่รกร้างในที่สุด
7. ยูนิตี้ ทาวเวอร์, โปแลนด์
ตึกที่ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1975 เพื่อเป็นสำนักงานภูมิภาคของสมาคมวิศวกรรมโปแลนด์ กำลังจะกลายเป็นหนึ่งในอาคารที่สวยงามทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ณ เวลานั้น
แต่ด้วยวิกฤตเศรษฐกิจในอีก 6 ปีต่อมา ตึกที่มีแผนจะกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดในเมืองกรากุฟต้องหยุดชะงักลง จนปัจจุบัน มันกำลังจะกลายเป็นตึกที่อยู่อาศัยสำหรับบรรดาเศรษฐีไฮโซแทน
8. พระราชวังแห่งโซเวียต, รัสเซีย
โครงการก่อสร้างอาคารศูนย์ราชการและรัฐสภาขนาดอภิมโหฬารแห่งสหภาพโซเวียต ที่มีความคิดริเริ่มมาตั้งแต่ปี 1922 จนกว่าจะได้สร้างจริงก็ปาเข้าไปในปี 1937 โดยคาดว่าจะมีความสูงยิ่งใหญ่อลังการถึง 1,624 ฟุต และจะถือว่าเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกทันที
แต่จากผลพวงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้การก่อสร้างอาคารแห่งนี้ต้องหยุดชะงักลงไปในปี 1941 รากฐานที่ถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ต้องถูกรื้อถอนนำชิ้นส่วนไปสร้างสะพานทางรถไฟ และป้อมปราการต่าง ๆ เพื่อป้องกันภัยรุกรานจากเยอรมนี จนกระทั่งปี 1958 มันได้ถูกสร้างเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และกลายเป็นวิหาร มหาวิหารเซ็นต์ เดอ ซาร์เวีย ที่เสร็จสิ้นในปี 1995 ในที่สุด